ด้านจิตรกรรม
สมัยรัตนโกสินทร์เป็นจิตรกรรมที่เขียนขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2325 ลงมาจนถึงปัจจุบัน มีรูปแบบการเขียนตามแบบไทยแนวประเพณี และแบบร่วมสมัย โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นจิตรกรรมไทยที่มีคุณค่าทางความงามมาก มักใช้สีตัดเส้น และปิดทองลงบนภาพ ภาพเขียนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 1 มีอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วัดระฆังโฆสิตาราม วัดดุสิตาราม กรุงเทพมหานคร สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงอุปถัมภ์ช่างศิลป์ ส่งผลให้มีการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมขึ้นอย่างแพร่หลาย ผลงานอันโดดเด่น ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดสุวรรณาราม (วัดทอง) ริมคลองบางกอกน้อย ซึ่งได้เป็นแม่แบบให้ศิลปินรุ่นหลังใช้เป็นแนวทางในการศึกษาและสร้างสรรค์งานมาจนถึงทุกวันนี้
จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม และที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นต้น แต่หลังจากสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาอิทธิพลตะวันตกได้ทำให้รูปแบบจิตรกรรมไทยมีความร่วมสมัยกับนานาชาติอย่างชัดเจน กล่าวคือ มีการนำเทคนิคการเขียนภาพให้มีมิติตามแบบอย่างตะวันตก เช่น จิตรกรรมของขรัวอินโข่ง จิตรกรเอกสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ขรัว อินโข่งเป็นศิลปินไทยคนแรกที่ได้นำแนวทางการวาดภาพแบบตะวันตกที่แสดงทัศนียภาพในระยะใกล้-ไกล และแสดงให้เห็นแสงเงา มาประยุกต์ใช้กับผลงานของตน ในปัจจุบันจิตรกรรมฝาผนังแม้จะเป็นภาพวาดที่มีลักษณะของความเป็นไทยแต่ก็มีการผสมผสานคตินิยม เทคนิค รูปแบบสมัยใหม่จากตะวันตก เช่น ผลงานของปรีชา เถาทอง เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จักรพันธุ์ โปษยกฤต เป็นต้น
ด้านประติมากรรม
สมัยรัตนโกสินทร์ด้านประติมากรรมในช่วงระยะแรกมีหลักฐานการสร้างน้อย ส่วนใหญ่มักอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณซึ่งทิ้งทรุดโทรมอยู่ที่เมืองเหนือมาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ถึง 1,200 องค์เศษ และบางองค์ก็ยังอัญเชิญมาเป็นพระประธานอยู่ในวัดสำคัญๆ ในกรุงเทพมหานคร เช่น พระประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น สำหรับประติมากรรมแบบรัตนโกสินทร์ประมวลได้ ดังนี้
1) พระพุทธรูปทำตามแบบอย่างของเดิม เป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นคล้ายกับพระพุทธรูปสมัยอยุธยาปนอู่ทอง แต่ลักษณะความมีชีวิตจิตใจมีน้อยลง ในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ให้มีการสร้างพระพุทธรูปเพิ่มเติมขึ้น นับรวมกับแบบเดิมเป็น 40 ปาง แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานภายในหอพระราชกรมานุสรและหอรพงศานุสร หลังพระอุโบสถด้านทิศตะวันตกภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารา เพื่ออุทิศถวายแต่สมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า ซึ่งนับเป็นต้นแบบของพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์
2) พระพุทธรูปผสมผสานกับตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการแก้ไขพุทธลักษณะให้คล้ายมนุษย์สามัญยิ่งขึ้น คือ ไม่มีพระเกตุมาลา หรือขมวดพระเมาลี มีจีวรเป็นริ้ว อาทิ พระนิรันตราย ในหอพระสุราลัยพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มีการสร้างพระพุทธรูปปางขอฝนในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พระพุทธไสยาสน์ ที่วัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร
3) ประติมากรรมสมัยใหม่ หลัง พ.ศ.2475 เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ศิลปะของเมืองไทย โดยมีการจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้น (ต่อมาได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) ภายใต้การอำนวยการโดยศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรจี (ศิลป์ พีระศรี) เปิดการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาจิตรกรรมแลประติมากรรมให้กับนักศึกษาไทย ซึ่งท่านได้สร้างสรรค์ผลงานสำคัญๆ ที่คุณค่าทางด้านประติมากรรมไว้มากมาย เช่น พระพุทธรูปปางลีลา ซึ่งประดิษฐานเป็นพระประธานที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี พระบรมราชาสุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา รูปปั้นหล่อประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รูปปั้นประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น
ด้านสถาปัตยกรรม
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะเป็นการสืบทอดรูปแบบศิลปะสมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตก ลักษณะของสถาปัตยกรรมก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอจะสรุปพัฒนาการของผลงานทัศนศิลป์ด้านสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ได้ดังนี้
1) สถาปัตยกรรมแบบอยุธยา ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น การก่อสร้างอาคารมักจะเลียนแบบสถาปัตยกรรมอยุธยาเป็นหลัก โดยเฉพาะอาคารประเภทเครื่องก่อ เช่นโบสถ์ วิหาร ปราสาทราชมณเฑียร จะสร้างให้ฐานแอ่นโค้งรับกับหลังคาที่เรียกว่า ฐานแอ่นโค้งแบบตกท้องช้างหรือโค้งสำเภา เช่น สถาปัตยกรรมหมู่พระมหามณเฑียรสถาน 3 หลัง คือ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ เป็นต้น และยังนิยมสร้างเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา และแบบทรงกรวยเหลี่ยมย่อมุม เช่น เจดีย์ทอง 2 องค์ บริเวณมุมปราสาทพระเทพบิตร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนการสร้างเจดีย์ทรงปรางค์มีการปรับเปลี่ยนจากรูปแบบของขอมให้มีลักษณะเฉพาะเป็นแบบไทยที่มีรูปทรงเพรียวและอ่อนช้อยมากกว่าของขอม เช่น พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม เป็นต้น
2) สถาปัตยกรรมแบบสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งจะเป็นสถาปัตยกรรมที่เลียนแบบศิลปะจีน เสาอาคารไม่มีบัวหัวเสา ไม่ติดคันทวย ก่อเป็นสี่เหลี่ยมทึบ โบสถ์ วิหาร ก็เอาช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ออก มีการนำเอาลวดลายบนเครื่องปั้นดินเอามาประดับ วัดที่มีตัวอย่างศิลปะจีนผสมผสานอยู่มาก เช่น วัดราชโอรสาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น
3) สถาปัตยกรรมยุคปรับตัวตามกระแสตะวันตก มีรูปลักษณะผสมผสานและรับแบบอย่างสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในสถาปัตยกรรมไทย ดังจะสังเกตได้อย่างชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่น การก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งเป็นอาคารแบบยุโรปแต่เปลี่ยนเครื่องบนเป็นยอดปราสาทแบบไทย 3 ยอดเรียงกัน การสร้างพระราชวังบางปะอินที่สร้างเลียนแบบพระราชวังแวร์ชายของฝรั่งเศส แต่พระที่นั่งกลางสระ คือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ นั้นสร้างเป็นแบบไทยอย่างวิจิตรงดงาม พระที่นั่งอนันตสมาคมที่ออกแบบโดยนายช่างชาวอิตาลี บนพระที่นั่งมีโดมใหญ่แบบยุโรปอยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ก็มีผลงานสถาปัตยกรรมอีกจำนวนมากที่สร้างตามแบบตะวันตก เช่น พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง กระทรวงกลาโหม ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาคารบริเวณถนนราชดำเนินกลาง สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นต้น
4) สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หลังจาก พ.ศ.2475 เป็นต้นมาผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมมีการขยายตัว อย่างรวดเร็วตามการเจริญเติบโตของบ้านเมืองและสังคม มีการสร้างผลงานทัศนศิลป์ด้านสถาปัตยกรรมขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยอิทธิพลศิลปะของตะวันตกได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญทั้งด้านรูปแบบ เทคโนโลยี และวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการสร้าง แนวคิดในการสร้าง นอกจากเพื่อประโยชน์ทางศาสนา และใช้ในราชการแล้วก็ยังใช้เพื่อสาธารณะ ซึ่งรูปแบบที่สร้างสรรค์ออกมาจะมีความหลากหลายมาก มีทั้งที่เป็นแบบสมัยใหม่ แบบไทยประยุกต์ และแบบไทยสมัยก่อนขณะเดียวกัน สถาปัตยกรรมสมัยใหม่นอกจากจะเน้นเรื่องความสวยงามความคงทนแล้ว ยังได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพภูมิทัศน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น